วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2551

ทะเลทรายที่ระนอง





หลายท่านเมื่อนึกถึงทะเลทราย ภาพที่อยู่ในห้วงความคิดก็น่าจะเป็น บรรยากาศความร้อน และขาดแคลนความชุ่มชื้นของน้ำ ลมแห่งความแห้งแล้ง ต้นกระบองเพชรหรือแม้แต่อูฐ สัตว์ที่สามารถดำรงอยู่ทนทานต้านแรงลมปนทราย "แต่เปล่าเลย"
ทะเลทรายที่ว่านี้มากไปด้วยน้ำ อุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิต เต็มไปด้วยต้นมะพร้าว พืชที่บ่งชี้ให้เห็นว่า ภาพที่ถัดออกไปจากชายฝั่ง เต็มไปด้วยน้ำอันไร้อาณาเขต มีเพียงขอบฟ้าที่ตัดกั้น บอกระยะเท่าที่การมองเห็นด้วยสายตาถูก ขณะนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ พร้อมด้วยมวลมิตรรอบข้างที่ร่วมชะตากรรม สถานที่ๆกำหนดเรื่องข้อปฎิบัติเพื่อให้ลุล่วงในภาระกิจ หลายคนนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ประหนึ่งว่า
"ฉันจะไม่ละสายตาจากเธอ เพราะเมื่อไหรที่ฉันให้ความสนใจในเรื่องอื่น เธอจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาทันที และนั้นจะตามมาของปัญหามากมายที่ต้องตามแก้"บ้างนั่งยิ้มกับกระบวนการของระบบที่ทำให้ตัวเองเกิดความพึงพอใจ และมากที่ยังมีคนไม่สามารถรับน้ำหนักของหัวสมองจึงจำเป็นที่จะต้องใช้มือค้ำพยุง....ไปเที่ยวทะเลทรายที่ระนองกันเถอะ จากใจที่ล่องลอยออกนอกหน้าต่าง บินไปตามการชี้นำของเข็มทิศจินตนาการ ระยะเดินทางร่วมๆ 8 ชั่วโมง อันดามันวันฟ้าใสที่ระนอง เป็นภาพอันมิอาจขจัดออกจากความคิดแม้ยามหยุดหลับ ผมไม่เคยถามตัวเองว่าผมมาที่นี้ทำไม คำตอบมันชัดในตัวว่า ผมกับทะเลคือชีวิตที่สัมพันธ์จนไม่อาจแยกจากกัน...

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2551

เกาะช้าง


หมู่เกาะช้างเป็นอุทยานแห่งชาติที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่น้อยมากกว่า 40 เกาะ ทั้งยังมีเกาะที่เป็นโขดหินกลางทะเลอีกจำนวนมาก โดยมีเกาะช้างเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงของจังหวัดตราด ตั้งอยู่ในท้องที่กิ่งอำเภอเกาะช้างและกิ่งอำเภอเกาะกูด จังหวัดตราด เกาะหลายแห่งมีทิวทัศน์สวยงาม หาดทรายขาว และน้ำทะเลใสสะอาด เช่น เกาะง่าม บางแห่งมีปะการังใต้น้ำที่คงความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ เช่น เกาะหวาย และหมู่เกาะรัง
ในปี พ.ศ. 2510 จังหวัดตราดได้ให้ นายสมศักดิ์ เผื่อนด้วง ไปทำการสำรวจบริเวณน้ำตกธารมะยม และได้ส่งรายงานการสำรวจเบื้องต้นของน้ำตกธารมะยม ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะช้าง อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ให้กรมป่าไม้พิจารณาจัดตั้งเป็นวนอุทยาน ซึ่งในปี 2516 กรมป่าไม้ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้จัดตั้ง " วนอุทยานน้ำตกธารมะยม " และกรมป่าไม้ได้มีหนังสือให้จังหวัดตราดรับงานจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยมไปดำเนินการในปี 2517 ซึ่งในปี 2518 จังหวัดตราดได้ให้ นายทนง โหตรภวานนท์ พนักงานป่าไม้ตรี ไปดำเนินการจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกธารมะยม
ต่อมาคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 2/2524 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2524 ให้ดำเนินการจัดบริเวณเกาะช้างและเกาะกูด จังหวัดตราด เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอีกแห่งหนึ่ง กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งให้นายเรืองศิลป์ ประกรศรี นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลรายละเอียด ทั้งดำเนินการปรับปรุงวนอุทยานน้ำตกธารมะยม เพื่อยกฐานะเป็นอุทยานแห่งชาติต่อไป จากรายงานข้อมูลการสำรวจตามหนังสือวนอุทยานน้ำตกธารมะยมพบว่า เกาะช้างและเกาะบริวารสภาพทั่วไปมีทิวทัศน์สวยงาม มีน้ำตก และสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่ ตลอดจนในอดีตน่านน้ำบริเวณทิศตะวันออกของเกาะช้างได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นในสมัยอินโดจีน กล่าวคือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรีได้ทำการยุทธนาวีกับเรือรบฝรั่งเศสจำนวน 7 ลำ อย่างห้าวหาญ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2484 วีรกรรมครั้งนี้ได้รับการจารึก ไว้ในประวัติศาสตร์ของกองทัพเรือ
เพื่ออนุรักษ์น่านน้ำประวัติศาสตร์และสภาพธรรมชาติของหมู่เกาะในทะเล กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในการประชุม ครั้งที่ 1/2525 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2525 เห็นควรจัดตั้งหมู่เกาะช้างเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยมีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินเกาะช้างและเกาะใกล้เคียงในท้องที่ตำบลเกาะช้าง และตำบลเกาะหมาก อำเภอแหลมงอบ จังหวัดตราด ครอบคลุมพื้นที่ 406,250 ไร่ หรือ 650 ตารางกิโลเมตร โดยเป็นพื้นน้ำประมาณ 458 ตารางกิโลเมตร หรือ 70 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ เป็นอุทยายแห่งชาติ ซึ่งประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เเล่ม 99 ตอนที่ 197 ลงวันที่ 31 ธันวาคม 2525 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 45 ของประเทศไทย

กระบี่




จากหลักฐานทางโบราณคดี สันนิษฐานได้ว่าบริเวณเมืองกระบี่เคยเป็นแหล่งชุมชน โบราณที่เก่าแก่มาก แห่งหนึ่งแห่งหนึ่งใน ประเทศไทย ตั้งแต่สมัย ก่อนประวัติศาสตร์ และต่อเนื่องมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ กล่าว กันว่าดินแดนนี้แต่เดิม คือเมืองบันไทยสมอ 1 ใน 12 เมือง นักษัตรที่ใช้ตราลิงเป็นตราประจำเมือง ขึ้นกับ อาณาจักรนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับชื่อเมืองกระบี่ว่า อาจมาจากความ หมายที่ แปลว่าดาบ เนื่องจากมีตำนานเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับการขุดพบมีดดาบโบราณ ก่อนที่จะสร้างเมือง อันเป็นที่มาของสัญลักษณ์จังหวัดกระบี่ในปัจจุบันอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 814 กม. มีเนื้อที่ 4ม708 ตรกม. ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลอันดามันกระบี่ ประกอบด้วยภูเขา ที่ดอน ที่ราบ หมู่เกาะน้อยใหญ่ กว่า 130 เกาะอุดมไปด้วยป่าชายเลน สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นดินเหนียวปนทรายและดินร่วนจึงเหมาะแก่การทำสวนยางพารา สวนปาล์ม สวนมะม่วงหิมพานต์ สวนกาแฟ สวนมะพร้าว ตัวเมืองกระบี่มีแม่น้ำยาวประมาณ 5 กม. ไหลผ่านลงสู่ทะเลอันดามันที่ตำบลปากน้ำ นอกจากนี้ยังมี คลองปกาสัย คลองกระบี่ใหญ่ และคลองกระบี่น้อย มีต้นกำเนิดจาก เทือกเขาที่สูงที่สุด ในจังหวัดกระบี่ คือ เทือกเขาพนมเบญจาจังหวัดกระบี่ แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ 7 กิ่งอำเภอ ดังนี้คือ อำเภอเมืองกระบี่ อำเภอเขาพนม อำเภอคลองท่อม อำเภอปลายพระยา อำเภอลันตา อำเภออ่าวลึก อำเภอลำทับ และกิ่งอำเภอเหนือคลอง

บันทึกแรมทาง ทริปโต้คลื่น ณ หาดบ้านกรูด จ.ประจวบคีรีขันธ์


วันหยุดยาวของใครๆ แต่เราได้หยุดช่วงสั้นๆ การหาสถานที่เที่ยวแบบกระทันหัน(อีกแล้ว) เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่มันก็ไม่ยากเกินไปนะ ถ้าใจมันอยากจะออกเดิน
“บ้านกรูด” ชื่อนี้คุ้นหูมานานประมาณ 10 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่ไม่ใช่ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวนะ ที่คุ้นเพราะมีช่วงหนึ่งที่พี่สาวพูดถึงอยู่บ่อยๆ เค้าได้ไปบ้านกรูดกับพวกกลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอะไรซักอย่าง แล้วก็กลับมาเล่าให้ฟังน่ะ หลังจากนั้นมาอีกหลายปี บ้านกรูดก็กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ในประจวบคีรีขันธ์ อยู่ก่อนถึงบางสะพานเล็กน้อย ประมาณ 15 - 20 นาที และการเดินทางครั้งนี้ ชายหาดบ้านกรูดคือที่หมายของเรา
พอพลาดจากเป้าหมายแรกคือเกาะทะลุ เพราะช่วงที่จะไป เป็นช่วงวันหยุดวันจักรี ชาวบ้านเค้าได้หยุดติดต่อกัน 3 วัน 6 – 8 เมษายน ที่พักก็เลยมีคนจองเต็ม พวกรู้สึกตัวช้า เวลาหยุดน้อย แต่จะไปจริงๆ อย่างพวกเรา เลยต้องหาเป้าหมายใหม่ในทันที และบ้านกรูดก็เป็นที่หนึ่งซึ่งแล่นเข้ามาในหัว เพราะมีที่พักหลายแห่ง และมีทริปท่องเที่ยวทางเรือที่พาไปชมเกาะทะลุและดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นรอบๆ เกาะด้วย เราจึงเปลี่ยนเป้ามาเป็นหาดบ้านกรูดแทน แล้วค่อยลงเรือไปเที่ยวเกาะทะลุกัน
หาข้อมูลการเดินทางและที่พักเรียบร้อย ก็ตามเช็คที่พักแต่ละที่ที่สนใจ แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เต็มแทบทุกที่เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องอาศัยดวงเล็กน้อย ได้บ้านพักที่ว่างเพราะลูกค้าที่จองไว้เค้ายกเลิก ว่างแค่ห้องเดียวพอดี ที่บานีโต้ บีช รีสอร์ท เป็นบ้านสีลูกกวาดหวานแหววทีเดียว น่าเสียดายอย่างหนึ่งคือบ้านที่เราจองได้เป็นแบบชั้นล่างทั้งชั้น มีห้องนอน ห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น ซึ่งกว้างขวางเหมาะแก่การไปกันเป็นแก๊งค์ อย่างน้อยสัก 4 เต็มที่ก็ได้ถึง 6 แต่เราไปกันแค่สองคน ด้วยความที่ตกลงกันไม่ได้สักทีว่าวันหยุดนี้จะไปเที่ยวไหน จนแยกย้ายกระจัดกระจายกันไป ก็ใครเค้าจะรอไหวล่ะ กว่าจะรู้สึกตัวว่าจะไปเที่ยวแน่ๆ ก็วันพฤหัสฯ กว่าจะเช็คเรื่องที่พักได้ก็วันศุกร์ แล้วรุ่งขึ้นจะต้องเดินทาง แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดีนะ ยกเว้นตอนจบน่ะ
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เช้าวันเสาร์ที่ 7 เมษายน ด้วยพาหนะคันใหญ่ แอร์เย็นฉ่ำ พร้อมเพื่อนร่วมทางกว่า 30 ชีวิต “รถ ปอ.1 กรุงเทพ – บางสะพาน” เที่ยวแรกออกจากสถานีขนส่งสายใต้ 7.30 น. ลงที่แยกบ้านกรูด ค่ารถคนละ 275 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง เรียกว่านั่งกันจนเมื่อยได้ที่เหมือนกัน ระหว่างทางมีแวะให้ลงไปกินข้าว กินน้ำ และเข้าห้องน้ำกันที่ร้านแม่แวว เพชรบุรี ประมาณ 15 นาที จากนั้นก็ตีรถยาวไปประจวบฯ เลย
เราถึงแยกบ้านกรูดประมาณเกือบบ่ายโมงครึ่ง ต่อเมล์เครื่อง(รถเครื่องหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างนั่นแหละ แต่ได้ยินคนพื้นที่เค้าใช้คำนี้ ฟังดูเก๋ดีเลยเอามาใช้มั้ง) บอกเค้าว่าไปรีสอท์ต บานีโต้ ค่ารถคนละ 80 บาท แต่ก็ซ้อนรถไปคันเดียวกันนั่นแหละ ระยะทาง 9 กิโลเมตรจากปากทาง เข้าไปถึงรีสอร์ท ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีได้ ส่งถึงหน้าออฟฟิต Reception เลย และก็คงจะมีแต่เรามั้งที่เข้าพักวันนี้ คนอื่นเค้าคงมากันตั้งแต่เมื่อวานซึ่งเป็นวันหยุดวันจักรี เพราะผู้จัดการทักทายเราอย่างถูกต้อง หรือเพราะเราเพิ่งโทรเข้ามาถามเรื่องการต่อรถเข้าไปที่รีสอร์ทก็ไม่รู้นะ
กรอกเอกสารและจ่ายตังค์ส่วนที่เหลือ พร้อมรับคูปองอาหารมื้อเย็นวันนี้ และมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้เรียบร้อย พนักงานก็พาเราไปที่บ้านพัก หลังที่ 6 เป็นบ้านสีเหลืองอ่อน ข้างบ้านมีต้นคูณกำลังออกดอกเหลืองสะพรั่งไปทั้งต้น และมีอีกหลายๆ ต้นอยู่โดยรอบรีสอร์ทแห่งนี้ ทำให้บรรยากาศสดใสยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากบ้านสีลูกกวาดหลากสีที่เรียงรายกันอยู่ มีพนักงานต้อนรับหน้าตาแปลกๆ วิ่งลงรูแถวหน้าบ้านไปแว๊บๆ มองไม่ทันว่าตัวอะไรแน่ แต่ไม่ใช่กิ้งก้า หรือว่าตุ๊กแกแน่นอน ตัวอะไรหว่า?
อากาศข้างนอกในยามบ่ายแบบนี้ร้อนเอาเรื่องอยู่ ถึงฟ้าจะครื้มฝนก็เถอะ เรานั่งตากแอร์อยู่ในบ้านพักหนึ่ง แล้วก็ยิ่งนึกเสียดายที่เพื่อนพ้องน้องพี่ไม่ได้มาด้วยกัน ก็มันกว้างเกินไปสำหรับสองคนน่ะ เอาไว้เล่นวิ่งไล่จับก็แล้วกัน แล้วถ้ามีครั้งหน้าค่อยชวนสมาชิกชาวแก๊งค์มาด้วย พักกันหายเหนื่อยแล้ว ความหิวก็เข้ามาแทน ออกไปหาข้าวกลางวันกินกันดีกว่าร้านอาหารของรีสอร์ทเงียบมากๆ ก็บ่ายสองโมงแล้วนี่นา คนอื่นๆ เค้าคงกินกันเรียบร้อยไปนานแล้ว เลือกอาหารจานเดียวจากเมนูได้คนละอย่าง สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล กับข้าวผัดกระเพรากุ้ง จัดการอาหารกลางวันเรียบร้อย แดดมันก็ร้อนเหลือหลาย ถ่ายรูปได้ไม่กี่รูปก็กลับไปตากแอร์ต่อดีกว่า แดดร่มลมตกหน่อยค่อยออกมาเดินเล่นกัน
ห้าโมงเย็น ได้เวลาออกมาเดินชมหาดบ้านกรูดกัน ถึงวันนี้ฟ้าจะไม่ใส ทรายที่นี่ก็ไม่ขาวละเอียดเท่าไหร่ แต่คลื่นลูกเล็กลูกใหญ่ที่ซัดเข้าหาฝั่งตลอดเวลา ก็ส่งเสียงทักทายไม่หยุด พร้อมๆ กับลมเย็นสบายที่ไม่เหนียวตัว และผู้คนที่กระจายกันอยู่ห่างๆ ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย ทำให้ชายหาดบ้านกรูดเป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่เงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนสบายๆ อีกแห่งหนึ่ง จากชายหาด เราจะมองเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หันพระพักตร์ออกทะเล อยู่บนเขาธงชัย คือ พระพุทธกิตติสิริชัย ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านกรูดและชาวประจวบฯ โดยเฉพาะชาวเรือชาวประมงที่ออกเรือ นอกจากพระพุทธกิตติสิริชัยแล้ว บนเขาธงชัยก็ยังมีพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ และศาลเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ด้วย เสียดายที่เราไม่ได้ขึ้นไปสักการะถึงบนเขา ได้แต่พนมมือไหว้จากชายหาดเท่านั้น
เดินเล่นได้ประมาณชั่วโมง ก็เริ่มหิวกันแล้ว กลับไปกินข้าวที่รีสอร์ทดีกว่า มื้อเย็นนี้เป็นอาหารชุดสำหรับสองคน ที่รวมมากับค่าห้องพักอยู่แล้วสำหรับวันหยุดยาว ในชุดก็จะมีกับข้าว 4 อย่าง ข้าวหนึ่งโถ พร้อมน้ำและน้ำแข็งเรียบร้อย ก็นับว่าสะดวกดีและก็คุ้มด้วย สำหรับช่วงวันหยุดยาวที่มีลูกค้าเข้าพักเยอะๆ คุ้มทั้งสำหรับเจ้าของและลูกค้านะ
จัดการอาหารเย็นเรียบร้อย (ด้วยความยากลำบาก กว่าจะกินหมด) เข้าไปพึ่งพุงที่บ้านได้สักพัก แต่มันก็ยังหัวค่ำเกินไปที่จะนอนนะ เราก็เลยเดินไปหาที่นั่งกินลม ชมวิวิ หาอะไรเย็นๆ จิบ ที่ร้าน The Beach ริมหาด อยู่เลยรีสอร์ทไปนิดนึ่ง ในร้านมีคนพอสมควร มีวงดนตรีแบบกันเองเล่นเพลงเพราะๆ ให้ฟังด้วย นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ สมควรแก่เวลาก็กลับไปอาบน้ำนอนกันดีกว่า วันนี้วันพักผ่อนไม่ต้องนอนดึก แต่ควรจะตื่นเช้าไปเก็บภาพบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย
ความตั้งใจเดิมของโปรแกรมวันรุ่งขึ้นคืออยากจะไปดำน้ำที่เกาะทะลุกัน แต่เห็นสภาพอากาศของวันนี้แล้ว คาดว่าคงจะผิดหวังแน่ๆ กับการดำน้ำ เพราะคลื่นลมค่อนข้างแรง และแสงก็ไม่ดีด้วย เราก็เลยพับโปรแกรมดำน้ำเก็บใส่กระเป๋ากลับบ้าน เอาไว้โอกาสหน้าที่ฟ้า คลื่นและลมเป็นใจกว่านี้ดีกว่านะ แล้วค่อยเจอกัน....เกาะทะลุ
พอล่มโปรแกรมดำน้ำเกาะทะลุ เช้านี้เราก็เลยว่าง พระอาทิตย์ขึ้นก็ไม่ได้เห็น เพราะอากาศครึ้มมากและมีเมฆตอนเช้า กว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ก็สายแล้ว หลังจากอาหารเช้าแล้ว ก็เลยเดินเล่น ถ่ายรูปรอบๆ รีสอร์ทไปเรื่อย แล้วก็ไปได้คำตอบว่าพนักงานต้อนรับหน้าตาแปลกๆ ที่เราเห็นเมื่อวานคือตัวอะไร มันคือ “แย้” เคยได้ยินคำว่าแย้ลงรู นั่นแหละใช่เลย มันอยู่ในรู วิ่งขึ้นมาชะเง้อชะแง้ดูอะไรสักอย่าง แล้วก็วิ่งลงรูหายไป เกิดมาก็เพิ่งเคยขึ้นนี่แหละ ที่นี่มีเยอะเสียด้วย เรียกว่าอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ทีเดียว มีลูกๆ แย้ตัวเล็กตัวน้อยโผล่มาให้เห็น ถ่ายรูปไปสักพัก กะว่าพอสายหน่อยจะไปเตรียมตัวเก็บของกลับกรุงเทพ ให้รถของรีสอร์ทไปส่งขึ้นรถเที่ยว 12.30 น. ที่ตลาด เพราะรถเที่ยวนั้นจะวนเข้ามารับคนที่ตลาดบ้านกรูดเลย ไม่ต้องไปดักรอขึ้นรถที่แยกบ้านกรูด แต่ก็ผิดแผนอีกแล้ว
แผนการท่องเที่ยวสำหรับวันหยุดยาวของชาวบ้าน แต่เป็นวันหยุดสั้นๆ ของเรา มันไม่ง่ายจริงๆ หนอ เพราะรถเที่ยวกลับเข้ากรุงเทพฯ เต็มหมดทุกเที่ยว มีว่างอยู่ 2 ที่สุดท้ายในเที่ยวสุดท้ายคือเที่ยว 5 ทุ่ม โห! ไม่ไหวมั้ง ต้องออกไปขึ้นรถห้าทุ่ม นั่งแยกกันหัวรถท้ายรถ ถึงกรุงเทพฯ ตอนตี 4 เอายังไงดี อันนี้ไม่ทันได้คิดแผนสำรองมาด้วยนะ คิดแล้วคิดอีกหลายตลบ สรุปว่าอยู่ต่ออีกคืนและกลับรถเที่ยวแรกตอนเช้าดีกว่า คราวนี้ทุกอย่างโอเคไม่มีปัญหาแล้ว ผู้จัดการรีสอร์ทอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดี แนะนำให้เราย้ายไปอยู่บ้านที่หลังเล็กลง ที่ถูกกว่า เพราะบ้านว่างแล้ว ลดราคาให้เพราะเราตัดอาหารเช้าออก(ก็มันกินไม่ทันแน่ๆ น่ะ) และให้เจ้าหน้าที่ของรีสอร์ทไปจองตั๋วรถทัวร์เที่ยวเช้าให้ เราจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดและจัดการติดต่อเรื่องรถของรีสอร์ทที่จะออกไปส่งเราขึ้นรถที่แยกบ้านกรูดตอนเช้าเรียบร้อย แล้วเวลาที่เหลืออีกค่อนวันนี่ล่ะ จะทำอะไรดี ผู้จัดการแนะนำให้เราไปขี่รถเล่นแถวๆ นี้ ให้เราไปเลือกจักรยานได้เลย ใช้ได้ฟรี ไม่ต้องเช่า แต่ไม่แนะนำให้ไปดำน้ำรอบบ่าย เพราะคลื่นแรง น้ำจะขุ่นและมองไม่เห็นอะไรแน่นอน เราต้องเชื่อคำแนะนำของเจ้าถิ่น ไปคว้าจักรยานได้คนละคัน ขี่กลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน วางแผนใหม่เรียบร้อย สรุปว่าเราจะออกไปกินข้าวกลางวันที่ร้านเดอะ บีช แล้วกลับเข้ามาที่บ้าน ทำการย้ายบ้าน พอบ่ายหน่อยก็ออกไปปั่นจักรยานเที่ยวแถวนี้ แล้วก็เล่นน้ำให้หนำใจ ลงทะเล และก็มาลงสระ เสร็จแล้วก็ไปหาข้าวเย็นกินให้อิ่ม แล้วก็มานอนหลับให้สบาย
คราวนี้ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมาย อาหารกลางวันที่เดอะ บีช อร่อยถูกปาก บริการก็ใส่ใจลูกค้าดี ลมพัดเย็นๆ ท้องฟ้าสีสวยกว่าเมื่อวานหน่อย ริมชายหาด หน้าร้านมีธงชาติไทยผืนใหญ่โบกสะพัดอยู่ตลอดเวลา สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องปักธงชาติไว้หน้าร้าน แต่ก็ไม่ได้ถามใครนะ รู้แต่ว่ามันเป็นจุดสังเกตที่ดีทีเดียว เวลาที่มองไปบนหาดยาวๆ ไกลๆ แล้วมีธงชาติผืนนี้คอยบอกตำแหน่ง ว่าเราอยู่ใกล้ไกลแค่ไหนจากจุดนั้น ช่วงบ่ายๆ เราปั่นจักรยานไปตามถนนเลียบชายหาดบ้านกรูด ก็ผ่านสวนมะพร้าว และรีสอร์ทอื่นๆ อีก 2 – 3 แห่ง ก็ดูน่ารัก น่าพัก และมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ปิ้งร้านอาหารของรีสอร์ทธารวรา รีสอร์ทที่อยู่ใกล้ๆ ไว้ด้วย กะว่ามื้อเย็นนี้จะเปลี่ยนบรรยากาศมาลองชิมอาหารร้านนี้ซะหน่อย
พอแสงอาทิตย์หายไป เราก็เอารถไปเก็บแล้วออกมาเล่นน้ำทะเลกัน จริงๆ แล้วมันเป็นการเล่นกับคลื่นมากกว่า เล่นกระโดดคลื่น เพราะมีคลื่นซัดตลอดเวลา ไม่สามารถว่ายน้ำได้เล่น โดดคลื่นเล่นได้อย่างเดียว แต่ก็สนุกดีนะ โดดกันเหนื่อยแล้ว ก็ขึ้นไปแช่น้ำอุ่นๆ ในสระของรีสอร์ทกันต่อ น้ำทั้งสระอุ่นดีจริงๆ เพราะมันตากแดดอยู่ทั้งวัน แช่น้ำกันฉ่ำใจแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำปะแป้ง เตรียมตัวไปหาข้าวเย็นกินกัน อุตส่าห์เดินเลี้ยวขวาไปทางธารวราแล้วเชียว ดันเจอหมาสกัดดาวรุ่ง ตัวนิดเดียวแต่มันเห่าไม่เลิก สุดท้ายเราก็เลยเปลี่ยนใจเลี้ยวกลับไปกินที่เดอะ บีชเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะกลัวหมานะ แต่รู้สึกว่าพอมืดแล้ว ร้านนั้นมันดูอยู่ไกลเกินไปหรือป่าว แล้วกว่าจะกินเสร็จและเดินกลับมาอีก อย่าดีกว่า กินใกล้ๆ นี่แหละ และเดอะ บีชก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เราเลือกสั่งอะไรที่ยังไม่ได้ลองเมื่อกลางวัน แล้วก็สรุปกันว่าอาหารที่นี่อร่อยทุกอย่างเลย และก็ดูแลเอาใจใส่ลูกค้าได้ดี ทั้งที่เป็นร้านเล็กๆ ดูแบบบ้านๆ ค่ำนี้มีดนตรีให้ฟังเหมือนเคย เพลงเพราะ บรรยากาศดี ลมทะเลเย็นๆ มีแสงสีเขียวจากเรือไดหมึกอยู่ไกลๆ เป็นวิวยามค่ำคืน ร้าน The Beach จึงเป็นอีกความประทับใจหนึ่งของการมาเที่ยวที่นี่...ชายหาดบ้านกรูด
คืนนี้เราเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นตั้งแต่ตีห้าในวันรุ่งขึ้น เพราะต้องออกจากรีสอร์ท 6 โมงเช้า เพื่อไปขึ้นรถเที่ยวแรกที่จะออกจากบางสะพานหกโมงเช้า และจะมาถึงแยกบ้านกรูดประมาณ6.20 น. ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เรากลับถึงกรุงเทพตอนเที่ยง ปิดท้ายทริปนี้อย่างผิดคาดไปบ้าง แต่ก็นับว่าโอเค สำหรับทริปกระทันหัน และก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้เตือนตัวเองเลยว่าในช่วงวันหยุดยาวๆ ทุกอย่างมันจะไม่ง่ายสบายๆ เหมือนหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันธรรมดา เราต้องเตรียมตัวให้มากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งเรื่องการเดินทางไป และกลับ ที่พักและกิจกรรม ทางที่ดีวางแผนล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ ดีกว่า จะไปเที่ยวไหน ไปกันกี่คน จองทุกอย่างให้เรียบร้อย จะได้เที่ยวให้สนุกอย่างสบายใจ ทริปกระทันหันแบบนี้ มีได้บ้างในบางโอกาส แต่อย่าบ่อยนักจะดีกว่า ว่าแล้วก็คิดต่อเลยแล้วกันว่าทริปหน้าจะไปไหนดี จะได้มีเวลาเตรียมตัวนานๆ ไง J

หาดสวย น้ำใส ไปเที่ยว ... เกาะสมุย กันเถอะ


หน้าร้อนอย่างนี้คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า … การไปเที่ยวชื่นชมชายหาด พร้อมทั้งเล่นน้ำทะเลคลายร้อน ซึ่งถ้าหากใครที่ยังไม่มีแผนที่จะไปไหน เราขอแนะนำ "เกาะสมุย" แม้ว่าจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความแปลกใหม่แต่เกาะสมุยก็ยังเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างประเทศ เกาะสมุย เป็นเกาะที่อยู่กลางอ่าวไทยโดยเป็นอำเภอๆ หนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เดิมมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งปลูกมะพร้าว แต่ปัจจุบันได้พัฒนาเป็นสถานที่ตากอากาศที่มีร้านค้า โรงแรม และสถานบันเทิงมากมาย โดยเกาะสมุยนั้นมีเนื้อที่ทั้งหมด 247 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ 1 ใน 3 ของเกาะเป็นที่ราบแล้วล้อมรอบด้วยภูเขา สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาที่ เกาะสมุย นั่นก็คือหาดทรายขาวและทะเลสวยใส ซึ่งหาดที่น่าสนใจ ได้แก่ หาดเฉวง ซึ่งเป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาะสมุย มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร หาดทรายมีลักษณะขาวสะอาดและมีห้องพักไว้บริการนักท่องเที่ยวมากมาย อีกหาดที่น่าสนใจก็คือ หาดละไม เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงรองลงมาจากหาดเฉวงโดยจะมีระยะทางสั้นกว่า แต่น้ำทะเลจะใสมากจนมองเห็นปลาว่ายอยู่ในน้ำจึงเหมาะสำหรับการว่ายน้ำ ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่ หินตา หินยาย ที่เป็นโขดหินรูปร่างประหลาดบริเวณอ่าวละไม ซึ่งเล่ากันว่ามีตา-ยายชาวปากพนังคู่หนึ่งเดินทางด้วยเรือใบไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์เพื่อจะไปสู่ขอผู้หญิงให้กับลูกชาย แต่เมื่อเรือแล่นมาถึงแหลมละไมเกิดพายุใหญ่จนเรือล่มทำให้ตาและยายเสียชีวิต แล้วคลื่นก็ซัดขึ้นมาเกยที่หาดจนกลายเป็นหินอย่างในปัจจุบันนี้